จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
บทที่ 625

ณ จุดสูงสุดของภูเขาจักรวาล ตำแหน่งซึ่งเคยเป็นที่ตั้งวิหารเทพเจ้าสูงสุดบัดนี้กลับหลงเหลือเพียงเศษซาก มองเห็นแสงกระบี่มากมายสุดคณานับปกคลุมฟ้าดิน และภาพลวงตาของเจ็ดอสูรร้ายบรรพกาลตรงเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด เปรี้ยงงง ๆๆๆๆๆ ตูมมม!ๆ “ จ้าวเทียน จงส่งมอบต้นไม้เอกภพคืนมาซะ มิเช่นนั้น ข้าจะสังหารทุกคนที่เจ้ารัก ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสร้างมาให้หมดสิ้น ” จูเก้อหมิงพูดขึ้นอย่างเย็นชา ในใจเขารู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ที่โดนอีกฝ่ายชุบมือเปิบแย่งชิงสมบัติล้ำค่าไปในตอนท้าย “ พอเอาชนะฉันไม่ได้ ก็ใช้วิธีข่มขู่แทนงั้นเหรอ แกมีศักดิ์ศรีบ้างหรือเปล่า ” จ้าวเทียนพูดตอบกลับด้วยความโกรธ ก่อนจะใช้เต๋ากระบี่และหัตถ์ราชันดับตะวันทำลายภาพลวงตาอสูรร้ายทั้งหมด วูป!ๆๆๆ จูเก้อหมิงเรียกดวงวิญญาณเหล่าผู้แข็งแกร่ง ที่เขาเคยสังหารไปในอดีตออกมาช่วยสู้อีกครั้ง ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงอาวุธเวทย์ขั้นสูงสุดและเครื่องรางอาคมโจมตีมากมาย ราวกับมีให้ใช้งานไม่หมดไม่สิ้น “ บัดซบ หัวขโมยสารเลวอย่างเจ้า มีสิทธิ์มาพูดเรื่องศักดิ์ศรีด้วยงั้นรึ ” “ แกซิ หัวขโมย ก็บอกไปแล้วว่าของสิ่งนั้นมันเลือกฉันเป็นเจ้าของเอง ฉันยังไม่ทันลงมือแย่งชิงเลยด้วยซ้ำ ” จ้าวเทียนรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก เพราะเดิมทีเขาอุตส่าห์เตรียมการผนึกฝ่ายตรงข้ามไว้ในสนามพลังแห่งกาลเวลา แต่ใครเล่าจะคิด ว่าเมื่อทั้งสองฝ่ายบุกฝ่าอาณาเขตสนามพลังไปถึงครึ่งทาง อยู่ดีๆต้นไม้เอกภพพร้อมกระถางสำริด จะลอยหายเข้าไปอยู่ในพื้นที่จิตวิญญาณของจ้าวเทียนซะอย่างนั้น สุดท้าย เมื่อสนามพลังหยุดทำงานไปเอง การต่อสู้จึงเกิดขึ้นโดยที่ทั้งจ้าวเทียนและจูเก้อหมิงไม่มีโอกาสได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย “ หุบปากซะ สมบัติล้ำค่าในตำนานเช่นต้นไม้เอกภพ จะเลือกผู้อ่อนแออย่างเจ้าเป็นนายได้อย่างไร ” จูเก้อหมิงตะโกนใส่อีกฝ่ายอย่างเดือดดาล สิ่งที่จูเก้อหมิงพูดออกมาก็เป็นเรื่องจริงครึ่งหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ต่อสู้ ขอบเขตพลัง หรือความสามารถในการควบคุมกฎเกณฑ์ เขาก็เหนือกว่าอีกฝ่ายทุกด้าน ซึ่งเหตุผลข้อเดียว ที่จ้าวเทียนยังอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ ก็เพราะอานุภาพของสมบัติโกลาหลแม่น้ำเต๋าเพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดพลังไร้สิ้นสุด หรือม่านพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของมัน ก็ล้วนสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบ และมอบความกดดันให้ศัตรูได้ทั้งสิ้น “ แกแหละต้องหุบปาก สิ่งที่แกต้องการอยู่กับฉัน ถ้าคิดว่ามีปัญญาเอาชนะฉันได้ก็ลองมาแย่งชิงไปดู ” จ้าวเทียนพูดสวนกลับไปด้วยแววตาท้าทาย พร้อมกับเรียกต้นไม้เอกภพมาแสดงให้อีกฝ่ายเห็น ก่อนจะเก็บเข้าไปในพื้นที่จิตวิญญาณอีกครั้ง “ เหอะ คิดว่ามีสมบัติโกลาหลแม่น้ำเต๋าคอยปกป้องอยู่ แล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้งั้นรึ ” พูดจบ จูเก้อหมิงคายแท่งโลหะสีดำแหลมคมออกมาจากริมฝีปาก นี่คือ เข็มทมิฬดับชะตา อาวุธสังหารระดับกึ่งโกลาหล ที่เขานำติดตัวเข้ามาในจักรวาลแห่งนี้ด้วยตั้งแต่หลายพันล้านปีก่อน อานุภาพของมันสามารถบุกทะลวงเข้าไปในสายธารแห่งการเวลา เพื่อเข่นฆ่าตัวตนในอดีตหรืออนาคตของศัตรู โดยยอมแลกเปลี่ยนกับอายุขัยบางส่วนของผู้ใช้ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของมันคือใช้ได้แค่หนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวเข็มทมิฬดับวิญญาณที่ถูกซัดออกไปแล้ว ก็ไม่อาจหวนคืนสู่ช่วงเวลาปัจจุบันได้แน่นอน “ อาวุธชิ้นนี้… ” จ้าวเทียนสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นสุดขั้วหัวใจ ลางมรณะอันพรั่นพรึงเริ่มคุกคามเข้าใส่จิตวิญญาณของเขาอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าเมื่ออีกฝ่ายปลดปล่อยอานุภาพที่แท้จริงของเข็มสีดำนี้ออกมา ตัวเขาก็ต้องตกตายแน่นอน “ จงภูมิใจเสียเถอะ เดิมทีของสิ่งนี้ข้าเตรียมไว้สังหารวานรเทพสามตาในตอนที่มันหมดประโยชน์ แต่ในเมื่อจิตวิญญาณต้นกำเนิดของมันหายสาบสูญไปจากจักรวาล เจ้าก็รับแทนมันไปแล้วกัน ” วิ้งง! สิ้นเสียง ปลายแหลมของเข็มทมิฬดับชะตาก็ถูกเล็งเป้าหมายไปที่กลางหน้าผากจ้าวเทียน ถึงแม้ระยะห่างของทั้งสองฝ่าย จะถูกขวางกั้นไปด้วยสนามพลังแห่งกาลเวลา และม่านพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของแม่น้ำเต๋า แต่ฤทธานุภาพของมัน ก็สะกดจ้าวเทียนจนไม่อาจเคลื่อนไหวหลบหนีได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับทั้งชีวิตและดวงวิญญาณของเขา ถูกเจตนาสังหารของเข็มสีดำแทงทะลุปักตรึงอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าก็ไม่ปาน “ เนตรสวรรค์บรรพกาล! จงเปิดประตูสู่ห้วงเวลาในอดีตตรงหน้าข้า ” ด้วยขอบเขตปัจจุบันของจูเก้อหมิง หลายสิ่งหลายอย่างไม่จำเป็นต้องอนุมานแบบจงใจ แค่เพียงกวาดตามองผ่านดูก็สามารถเห็นช่วงชีวิตตั้งแต่อดีตไปจนถึงอนาคต ของจักรพรรดิเทพสูงสุดหรือตัวตนอื่นระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้มันจะมีความเป็นไปได้ที่แตกต่างกันนับพันล้านครั้งในทุกช่วงเวลา แต่เมื่อปรากฏต่อหน้าการดำรงอยู่เช่นเขา ความเป็นไปได้นับพันล้านเหล่านี้ก็กลายเป็นเส้นตรงที่ชัดเจน ทำให้สามารถค้นหาผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ในอนาคตได้แบบแม่นยำ วูป! เมื่อช่องว่างแห่งกาลเวลาถูกเปิดออก ส่วนปลายอันแหลมคมของเข็มทมิฬก็เริ่มหมุนควงสว่าน คล้ายกับต้องการทะลวงกำแพงแห่งอดีต ปัจจุบันและอนาคต เข้าไปเข่นฆ่าจ้าวเทียนในช่วงเวลาที่อ่อนที่สุด ‘ แย่แล้ว หากยังไม่รีบทำอะไรซักอย่างชีวิตฉันคงจบสิ้นแน่ ’ จ้าวเทียนกัดฟันแน่น เมื่อเห็นภาพตัวเองสมัยที่ยังเป็นทารก ปรากฏขึ้นในอีกฝั่งของช่องว่างกาลเวลา เขาพยายามใช้เจตจำนงกระบี่ราชันสวรรค์ทำลายข้อจำกัดทั้งมวล แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นผล เพราะถึงแม้ความแข็งแกร่งของเขาจะทัดเทียมฝ่ายตรงข้าม แต่ระดับการตระหนักรู้และความเข้าใจอันลึกซึ้งในกฎเกณฑ์ต้นกำเนิดแห่งมิติเวลา ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ปกครองเอกภพ ซึ่งเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่มาหลายพันหรือหลายหมื่นล้านปีตั้งแต่ก่อนจักรวาลจะถือกำเนิด อดีตมหาเทพที่เคยปกครองแดนสวรรค์มาแค่เพียงแสนปีอย่างเขาก็เทียบอีกฝ่ายไม่ติดจริงๆ ทว่า ในพริบตาที่ชีวิตของจ้าวเทียนถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย พันธนาการบางอย่างที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตวิญญาณของเขาก็ถูกปลดออก ทำให้ภาพความทรงจำมากมายมหาศาลทั้งที่เป็นของเขาและไม่ใช่ของเขาระเบิดออกมา แวบ! แววตาของจ้าวเทียนเปล่งประกายเจิดจ้า ราวกับมีดาราจักรนับไม่ถ้วนหมุนวนอยู่ภายใน โดยมีภาพลวงตาของต้นไม้เอกภพอันใหญ่โตมโหฬาร หยั่งรากลึกเป็นจุดศูนย์กลางแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง ทันใดนั้น ครืนน! กึก!ๆ เข็มทมิฬดับชะตาซึ่งจมหายไปช่องว่างกาลเวลากว่าครึ่ง ก็ถูกผลักดันให้ถอยกลับมาอย่างช้าๆ เหมือนชนเข้ากับกำแพงอันแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น ไม่อาจต้านทานได้แม้แต่นิดเดียว “ เหอะ ยังคิดจะดิ้นรนอยู่งั้นรึ ” จูเก้อหมิงแค่นเสียงเย็นชา เขาคิดว่าจ้าวเทียนใช้สมบัติล้ำค่าหรือเครื่องรางช่วยชีวิตปกป้องตัวเอง ซึ่งโดยปกติแล้วมันจะใช้ได้ครั้งเดียวหรือมีขีดจำกัดบางอย่าง ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเด็ดขาดเผาผลาญแก่นโลหิตของตน เพื่อปลดปล่อยอานุภาพขั้นสูงสุดของเข็มทมิฬดับชะตา โดยไม่สนใจว่า มันจะมีผลสะท้อนกลับที่จะสร้างความเสียหายต่อจิตวิญญาณตนเองอย่างไร เพราะขอเพียงช่วงชิงต้นไม้เอกภพมาได้การเสียสละทุกอย่างล้วนคู่ควร แต่ทว่า… “ นี่มัน! ไม่มีทาง! เป็นไปไม่ได้ ” จูเก้อหมิงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเขาทดลองใช้เนตรสวรรค์บรรพกาลอีกครั้ง เพื่ออนุมานช่วงเวลาที่จ้าวเทียนเพิ่งถือกำเนิดมาเป็นทารกแล้วลงมือสังหาร ก็พบว่าเงาร่างของอีกฝ่ายดูเหมือนจะหายไปทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ที่นี่ แต่ดูเหมือนจะไม่อยู่ที่นี่ ราวกับได้จมหายเข้าไปในม่านหมอกแห่งกาลเวลาอันไร้จุดสิ้นสุด ซึ่งเหตุการณ์นี้ จะปรากฏต่อเมื่อเขาใช้เคล็ดวิชาอนุมานตัวตนระดับผู้ปกครองเอกภพ ที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกันหรือเหนือกว่าเท่านั้น วิ้งงง! เข็มสีดำยังคงหมุนควงสว่านอยู่ตรงรอยแยกกาลเวลาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ใบหน้าของจูเก้อหมิงค่อยๆหมองคล้ำลงทุกที เนื่องจากเขาต้องทนแบกรับผลกระทบจากการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์แห่งเอกภพเป็นเวลานาน “ ไม่จริง เจ้ายังไม่ตระหนักขอบเขตครึ่งก้าวผู้ปกครองเลยด้วยซ้ำ จะตรัสรู้กลายเป็นผู้อยู่เหนือกาลได้อย่างไร ” ผู้อยู่เหนือกาล คืออาณาจักรการบรรลุอันสูงส่งของขอบเขตผู้ปกครอง ที่ได้ก้าวข้ามผ่านออกมาจากสายธารแห่งกาลเวลาอย่างแท้จริง ตัวตนในแต่ละช่วงเวลาจะถูกหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เหมือนไม่มีอยู่ในอดีต ไม่มีอยู่ในอนาคต มีเพียงปัจจุบันที่เขาอยู่ตอนนี้ ทำให้ไม่อาจใช้วิธีย้อนเวลากลับไปสังหารได้ พูดยังไม่ทันจบ จูเก้อหมิงก็กระอักโลหิตฉีดพุ่งขึ้นฟ้า พร้อมกับเซถอยหลังไปครึ่งก้าว ส่วนเข็มทมิฬดับชะตาก็สูญสิ้นประกาย ร่วงหล่นลงไปราวกับเป็นเศษเหล็ก เนื่องจากได้ถูกใช้งานจนเกินขีดจำกัด ทางด้านจ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้น ก็ก้าวขึ้นไปอยู่เหนือศีรษะฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับกดฝ่ามือขวาลงช้าๆ ตูมม! ผลกระทบการโจมตีนี้ทำให้กฎเกณฑ์ทั้งหมดพังทลาย ภูเขาจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลสั่นสะเทือน เริ่มปรากฏรอยแตกร้าวแผ่ขยายจากยอดเขาลงไปสู่ฐานราก คล้ายกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ นี่เป็นพลังที่น่าหวาดกลัวสุดจะพรรณนา เพียงพอที่จะลบล้างการดำรงอยู่ทั้งมวลในจักรวาลแห่งนี้ “ บัดซบ! อย่าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้ ” บูมม! ร่างมนุษย์ของจูเก้อหมิงระเบิดหมอกควันสีม่วงปกคลุมสวรรค์และปฐพี แล้วแปรเปลี่ยนกลายเป็นเทพอสูรยักษ์บรรพกาล ปล่อยหมัดทะลวงใส่ฝ่ามือของจ้าวเทียนอย่างรุนรุนแรง เปรี้ยงง! ตูมมมม! เสี้ยววินาทีนั้น ห้วงเวลาเหมือนจะหยุดนิ่งลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดเสียงระเบิดดังสนั่นก้องไปทั่วทั้งสามภพภูมิ ราวกับมีทัณฑ์สายฟ้านับล้านปะทุขึ้นพร้อมกัน ส่งผลให้สรรพสิ่งโดยรอบรวมไปถึงภูเขาจักรวาลถูกลบหายไปทันที วูป! ร่างของจ้าวเทียนไปปรากฏตรงหน้าจูเก้อหมิงอย่างไร้ตัวตน ทั้งสองฝ่ายได้เข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนกำแพงมิติปัจจุบันพังทลาย ทะลุเข้าไปสู่ห้วงเวลาอันไร้สิ้นสุดซึ่งเต็มไปด้วยพื้นที่สีขาวของความว่างเปล่า ซึ่งครั้งนี้ไม่เหมือนการต่อสู้ตอนแรก จูเก้อหมิงปราศจากข้อได้เปรียบใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ ความแข็งแกร่งหรืออำนาจในการควบคุมกฎ จูเก้อหมิงโดนจ้าวเทียนไล่ต้อนจนหมดสิ้นหนทางตอบโต้อย่างสิ้นเชิง คล้ายกับผู้ที่ต่อสู้อยู่ด้วยตอนนี้ คือตัวตนที่เหนือล้ำกว่าเขาทุกด้านก็ไม่ปาน ตูมมม! กายหยาบเทพอสูรบรรพกาลของจูเก้อหมิงโดนทำลาย ก่อนที่ร่างจริงเขาจะถูกจ้าวเทียนคว้าลำคอไว้แล้วยกสูงขึ้น ทำให้สายตาทั้งสองฝ่ายประสานกันพอดี “ ไม่ใช่! ไม่มีทาง! เจ้าไม่ใช่เขา เจ้าเป็นใครกันแน่… ” จูเก้อหมิงพยายามฝืนพูดออกมาอย่างโกรธแค้น เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมืออีกฝ่าย เขารู้สึกว่าขอบเขตพลังทั้งหมดของตนถูกระงับโดยสิ้นเชิง แม้แต่พื้นที่จิตวิญญาณก็ยังถูกผนึกไว้ ไม่อาจควบคุมอาวุธหรือสมบัติโกลาหลใดๆได้เลย ถึงแม้จูเก้อหมิงจะไม่ใช่ตัวตนมหาอำนาจในจักรวาลระดับสูง แต่เขาก็คือหนึ่งในสิบแม่ทัพใหญ่ภายใต้สามจอมราชันผู้ปกครองสูงสุด ซึ่งเคยปราบปราม ช่วงชิง และทำลายล้างจักรวาลระดับกลางและระดับต่ำมามากมายนับไม่ถ้วน บอกได้คำเดียวว่า หากไม่ใช่เพราะครั้งนั้นตัวเขาเผลอประมาทหลงกลสามผู้ปกครองจักรวาลแห่งนี้ นำพากองกำลังตนเองเข้ามาติดกับจนถูกผนึกพลังไปกว่าครึ่ง อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเอาชนะตัวเขาได้แน่นอน ทำให้เมื่อจูเก้อหมิงสามารถฟื้นพลังแปดส่วนของตัวเองกลับมาได้สำเร็จ แถมยังได้รู้ว่าวานรเทพสามตาหายตัวไป อีกทั้งสามผู้ครองก็ยังไม่กลับคืนมา เขาจึงรู้สึกเหมือนนี่คือช่วงเวลาอันโชติช่วงเปล่งประกาย ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้เพื่อตนเองก็ไม่ปาน ต่อให้ราชันเทพมารอเวจีคืนชีพมาก็ไม่ใช่คู่มือของเขาแน่นอนแต่ทว่า ผลลัพธ์มันกลับไม่เป็นไปตามที่จูเก้อหมิงคาดหวัง เพราะดันปรากฏตัวตนลึกลับที่สิงสถิตอยู่ในร่างจ้าวเทียนสามารถเอาชนะตนเองได้อย่างง่ายดาย แล้วจะไม่ให้ตัวเขารู้สึกคับแค้นใจได้อย่างไรกัน“ เจ้าเดาไม่ออกจริงงั้นรึ…ว่าข้าคือใคร ” จ้าวเทียนยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูอีกฝ่ายเบาๆ ทั้งน้ำเสียงและกลิ่นอายบางอย่างมันช่างดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ทำให้จูเก้อหมิงที่กำลังพยายามดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดหยุดลงทันที ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง และแววตาที่แฝงไปด้วยความสับสน ตกตะลึง โกรธแค้น จนสุดท้ายก็หลงเหลือเพียงความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ “ เป็นไปไม่ได้ เจ้า…
” ยังไม่ทันที่จูเก้อหมิงจะพูดจบ ดวงวิญญาณของเขาก็ถูกทำลาย ร่างกายถูกเปลวเพลิงนิรันดร์เผาไหม้กลืนกินหายไปในพริบตา ก่อนจะมีดวงแสงสีทอง ผลไม้แห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่เจ็ดลูก และกองภูเขาสมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาลปรากฏออกมาแทนที่ แวบ! จ้าวเทียนวาดฝ่ามือเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในคลังสมบัติจนหมดสิ้น โดยเลือกเอาดวงแสงสีทองและผลเต๋าเจ็ดลูก มอบให้ต้นไม้เอกภพดูดกลืนเป็นสารอาหาร ทำให้ลำต้นของมันเติบโตสูงใหญ่ขึ้นเกือบสองเท่า ทั้งยังเริ่มส่งสัญญาณของการผลิดอกออกผลขึ้นมาอีกด้วย “ หืม เพิ่งจะออกมายืดเส้นยืดสายได้ครู่เดียว เวลาของข้าก็ใกล้หมดลงแล้วงั้นรึ ช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก ” จ้าวเทียนพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะลบความทรงจำเกี่ยวกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ทิ้งไป ทั้งยังปลดปล่อยเจตจำนง กวาดไปทั่วทั้งแดนสวรรค์และดาราจักรโดยรอบข้างเคียง รวมไปถึงสามภพภูมิ เพื่อบิดเบือนความทรงจำผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด กำจัดหลักฐานไม่ให้เหลือรอดแม้แต่นิดเดียว“ เท่านี้ก็น่าจะพอ คงได้เวลาส่งคืนร่างกายให้ตัวหมากของข้าแล้วสินะ หึหึ ”